ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ปลดปล่อย

๖ ก.ย. ๒๕๕๘

ปลดปล่อย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่อง “เล่าประสบการณ์การภาวนาครับ

กราบเท้าหลวงพ่อ กระผมขอเล่าประสบการณ์การภาวนา พร้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งครับ เป็นโอกาสดี เป็นวันอาทิตย์ ไม่ได้ทํางานตื่นมา ผมเลยสวดมนต์และภาวนา เริ่มแรกคือจิตใจไม่นิ่งพอ พุทโธก็ติดขัด ผมเลยใช้ปัญญาอบรมสมาธิบ้าง ผมก็เริ่มคิดถึงบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากนั้นก็มาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงนี้ของตัวเอง ใจเลยนิ่งขึ้น หลังจากนั้นผมก็กลับมาพุทโธต่อ และสักพัก ผมก็นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจผมก็คิดถึงแสงรัศมีของพระองค์ หลังจากนั้นร่างกายก็อ่อนไปหมด อบอุ่นมาก ขนลุกตลอดเวลา หลายต่อหลายครั้ง ผมก็พุทโธต่อไป ทันใดนั้น ใจก็คิดถึงเรื่องที่ผมเคยมีคําหยาบเวลาคิดถึงพระรัตนตรัย หลังจากนั้น ผมก็ร้องไห้ นํ้าตาร่วงลงมาอย่างไม่หยุด ในใจก้มกราบแล้วกราบอีกในความสํานึกความรู้สึกเหมือนกราบขอโทษพ่อแม่ (แต่ยิ่งกว่านั้นหลายเท่า)

ผมทั้งร้องไห้ ทั้งขอขมา คิดว่า ในอดีตเราคงเป็นคนโง่ที่เคยกล่าวติเตียนพระองค์ พร้อมทั้งสํานึกในบาปนี้อยู่นานมาก ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ มันมีความรู้สึกปีติใจอย่างมาก เกินกว่าที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือได้

หลังจากหยุดร้องแล้วก็พุทโธต่อ ความรู้สึกทั้งโล่ง ว่าง เงียบสงบ อบอุ่นมากครับ พร้อมทั้งก้มลงกราบที่พื้นอีก  ครั้ง หลังเลิกภาวนาแล้วผมรู้สึกเหมือนชีวิตกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ จากที่แต่ก่อนนั้นติดลบ และปฏิญาณตนต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างสุดหัวใจ อธิษฐานกับตัวเองว่า ให้หมั่นมุ่งทําแต่ความดีฝึกหัดฝืนใจเวลามีกิเลสมาครอบงํา หมั่นฝึกหัดภาวนาครับ และผมก็สํานึกในเมตตาของหลวงพ่อขึ้นมาที่ได้ชี้แนะทางให้ผมในเรื่องนี้ และรีบกลับมาเล่าเรื่องนี้เพื่อกราบขอบพระคุณหลวงพ่อด้วยครับ

ตอบ : อันนี้เวลาเขาขอบพระคุณ เห็นไหม เวลาคนเรามันมีสิ่งใด เราเกิดมาเราเกิดมาโดยอวิชชา เราเกิดมาด้วยความไม่รู้ แต่ความไม่รู้นี้ ถ้ามันทําสิ่งใดที่เป็นบาปอกุศล มันจะติดหัวใจนี้มา การติดหัวใจนี้มา เวลาเรา เราเป็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด พอความเห็นผิด เราเชื่อมั่นในความเห็นของเรา เราทําสิ่งใดเราคิดว่าเป็นความถูกต้องดีงามไง เราก็ทําด้วยความเต็มไม้เต็มมือ

การทําด้วยความเต็มไม้เต็มมือ เขาเรียกว่าทําด้วยความมั่นใจ มั่นใจสิ่งใดมั่นใจว่าตัวเองทําถูกต้องดีงามก็ทําด้วยความเต็มไม้เต็มมือของตัว แต่ความจริงมันเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด พอทําสิ่งใดไปแล้วมันเป็นเวรเป็นกรรม พอเป็นเวรเป็นกรรม กรรมมันให้ผลๆ

ทีนี้เวลากรรมให้ผล เวลาคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์นะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ดูสิ ศรัทธาของชาวพุทธ คนเวลาเขาทําบุญกุศลกัน เวลาเขาภาวนากัน เราเห็นแล้วเราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่จิตใจของเรา อดีตชาติ สิ่งที่มันฝังมา กรรมเก่าๆ มันมีสิ่งนั้นมา ถ้ามีสิ่งนั้นมา เวลาเข้ามา ยิ่งถ้าอยู่ห่างๆมันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ ยิ่งเข้าใกล้ชิดเท่าไรนะ แรงต้านในใจมันจะมีขึ้น แรงต้านในใจมันจะมี มันจะทําให้เรามันมีความเห็นผิด มีการตําหนิ มีการต่างๆ ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่สุดวิสัย มันเป็นความคิดใต้สํานึก จิตใต้สํานึกมันคิด จิตใต้สํานึกมันแสดงออก ทั้งๆ ที่เราก็อยากเป็นคนดี

เราเกิดในปัจจุบันนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ วัฒนธรรมประเพณีมันมีของมันอยู่วัฒนธรรมประเพณี ดูสิ เวลาทางโลกเขา เขาบอกเวลาพระทําผิด ยกให้ผ้าเหลืองผ้าเหลือง จะติเตียนกลัวเป็นบาปเป็นกรรม

แล้วถ้ายกให้ผ้าเหลือง ที่เสาชิงช้า ผ้าเหลืองเยอะแยะเลย ทําไมไม่ยกให้เขาบ้างล่ะ นี่ประเพณีวัฒนธรรมคิดกันอย่างนั้นไง ยกให้ผ้าเหลืองๆ คือว่าเกรงใจพระว่าอย่างนั้นเถอะ พระจะทําอะไร โยมก็ไม่กล้าติไม่กล้าเตียน ก็เลยคิดว่ายกให้ผ้าเหลืองไปไง

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา เวลาประเพณีวัฒนธรรม เราเคารพบูชาของเรา เราก็อยากประพฤติปฏิบัติของเขา แต่ใจ ใจมันมีสิ่งโต้แย้ง สิ่งต่างๆ อันนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัย กรรมเก่ากรรมใหม่ เวลากรรมเก่ามันสร้างสมมา มันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นความคิด เป็นเรื่องจิตใต้สํานึก ฉะนั้น ถ้าเป็นจิตใต้สํานึก เวลามันกวนใจเรา เวลากวนใจใคร คนนั้นก็เดือดร้อน เราคิดดี เราทําดี เราปรารถนาดี เราอยากจะทําสิ่งที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ทําไมมันคิดเข้ามาในใจ มันมีสิ่งนี้รบกวนตลอดเวลา

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอน ท่านสอนให้ขอขมาลาโทษ ให้ขอขมาลาโทษ ก็เหมือนในปัจจุบันนี้เราสํานึกผิด เรารู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ดีงาม ไม่ดีงามเราก็ไม่ได้ทํา เพราะตั้งแต่เด็กเกิดมา เราก็ทําดีมาตลอด เกิดมา พ่อแม่พาเข้าวัดเข้าวามา เกิดมานี่พ่อแม่ดูแลมา เรารู้ความได้ เราก็ไม่เคยทําอะไรชั่วช้า ทําไมมันมีความคิดอย่างนี้ เห็นไหม เราก็สืบสาวราวเรื่องไม่ได้ ถ้าเราสืบสาวราวเรื่องไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นกรรมเก่า มันเป็นสิ่งที่ฝังใจมา

ทีนี้ฝังใจมา ครูบาอาจารย์ เห็นไหม เราไปแก้อดีตไม่ได้ เราแก้ประวัติศาสตร์ไม่ได้ แต่เราแก้ที่ปัจจุบันนี้ได้ การแก้ที่ปัจจุบันนี้นะ ให้ขอขมาลาโทษ ให้ขอขมาลาโทษ การขอขมาลาโทษ พอขอขมาลาโทษ เหมือนกับคนผิดคนผิดแล้วสํานึกผิด คนคนนั้นมันก็สบายใจขึ้น สบายใจขึ้นนะ

แต่กรณีนี้กรณีผู้ถาม เวลาผู้ถาม เวลาเขาทําของเขามา แต่ตอนนี้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เขามีสติมีปัญญา เขาถอดถอน ถอดถอนไอ้ความฝังใจถอดถอนจิตใต้สํานึก จิตใต้สํานึก อะไรไปถอดถอนมัน

จิตใต้สํานึก เห็นไหม ดูสิ ทางจิตวิทยา เวลาไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์เวลาเขาขุดคนที่ผิดปกติ เขาจะต้องพยายามใช้ทางวิชาการของเขาเข้าไปขุด ขุดขึ้นมาให้เป็นปกติไง

แต่อันนี้เราไม่ใช่จิตวิทยา นี่ธรรมโอสถ นี่การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรมนะ เรามีสติปัญญาของเรา สติปัญญา เรามีสติปัญญา สิ่งที่เราทํามาแล้วมันเป็นอดีต เราแก้ไขไม่ได้ เราแก้ไขในปัจจุบันนี้ เราสํานึกผิด เราขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษของเราบ่อยครั้ง เหมือนคนสํานึกผิด เจอทีไรเราก็สํานึกผิดของเราตลอดไป นี่กิเลสมันไม่มีช่องทางที่มันจะเพิ่มมากขึ้นกิเลสมันมีแต่จะลดน้อยลง สิ่งใดที่เป็นบาปเป็นกรรม ขอขมาลาโทษ

ให้อภัยเป็นทาน อภัยทานต่างๆ การให้อภัยต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เขาบอกว่าเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลานั่งของเขาไป ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คิดถึงบุญคุณพ่อแม่ คิดถึงต่างๆ

เราคิดถึง ถ้าคิดถึงมีสติปัญญา เขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิ เวลาเรานั่งกันอยู่นี่

กับพ่อแม่เราไม่กล้าพูด เราไม่กล้าบอกว่าเรารักพ่อรักแม่ เราไม่กล้าเวลาแสดงออกอย่างนั้น แต่ในใจเราคิดได้ ถ้าในใจเราคิดได้ เราคิดถึงบุญคุณ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่เลี้ยงดูมา แล้วพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรานับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็นับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราระลึกถึง นี่มันมีปัญญาไล่เข้ามาๆ สิ่งที่จะคิดชั่วร้าย มันคิดชั่วร้ายออกไปไม่ได้หรอก เพราะเรามีสติปัญญา เราพาใจเราคิดแต่เรื่องดีๆ เห็นไหม

เวลาเราพุทโธๆ เราพุทธานุสติ เราก็พาใจเราอยู่กับพุทโธ พาใจเราระลึกพุทโธ พุทโธจนใจเป็นพุทโธ ใจเป็นพุทโธ ใจก็เป็นพุทธะ ใจเป็นพุทธะ ใจก็เป็นสัมมาสมาธิ ใจเป็นสัมมาสมาธิ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนา เราก็จะไปชําระล้างกิเลส อันนั้นเป็นมรรค

แต่อันนี้เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ อบรมสมาธิให้มันสํานึก เห็นไหม สํานึกถึงความถูกต้องชอบธรรม สํานึกถึงความดีงาม เวลามันสํานึก เวลาเขาปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันดีมาก เขาว่ามันดีมากนะ มันดีมากคือมันสงบเข้ามาแล้วมันมีอํานาจวาสนา มีอํานาจวาสนา เขาคิดต่อเนื่องไป

เวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง จิตสงบแล้วนั่นคือสัมมาสมาธิ นั่นคือสมถกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงาน ปฏิสนธิจิต นี่ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้พาเวียนว่ายตายเกิด

แต่ของเรา ความคิด ความคิดเกิดจากจิต ความคิดไม่ใช่จิต ฉะนั้น เราผ่านความคิด ความคิดคือปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิมันทะลุความคิดนี้ไป เข้าไปสู่จิตพอเข้าไปสู่จิต จิตมันมีกําลัง จิตมีกําลัง จิตใช้ปัญญา ถ้าจิตใช้ปัญญา จิตระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ นี่เขาบอกเลย เขาบอกๆ ถ้าคนไม่ได้เป็นมันจะบอกอะไร ถ้าคนไม่เป็นนะ

เขาบอกว่า “พอคิดระลึกแล้วร่างกายนี้อ่อนไปหมดเลย เกิดความอบอุ่นขนลุกตลอดเวลา เป็นหลายครั้งหลายหน

นี่เวลามันให้ผล เวลาให้ผล นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นขึ้นมาในหัวใจไงมันเป็นขึ้นจากตัวของเราเองไง ไอ้เราระลึก เราก็ระลึกไป จิตใต้สํานึกๆ เวลาเข้าไปถึงจิตใต้สํานึก เข้าไปถึงสัมมาสมาธิ เข้าไปถึงจิต นี่จิตแท้ จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่เป็นสัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันก็เป็นมรรค

จิตของเราเป็นความคิด เป็นความคิด เป็นจินตนาการ เป็นสัญญาอารมณ์แล้วก็คิดไป ของอย่างนี้มันก็ต้องทํา เวลาทําอย่างนี้ เพราะมีการกระทํา ทําอย่างนั้นคือปัญญาอบรมสมาธิ

ความคิด ถ้ามันปล่อยให้มันคิด กิเลสมันพาคิด คิดไปเรื่องของกิเลส ถ้ามีสติปัญญา เราคิดเหมือนกัน แต่ธรรมพาคิด คิดถึงบุญคุณพ่อแม่ คิดถึงความเลี้ยงดูมา คิดถึง เห็นไหม เวลาคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่าโอ้โฮร่างกายเขาอ่อนเปียกเลย อบอุ่น ขนลุกขนพอง

นี่เราถึงบอกว่า ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงอย่างนี้

เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้าของท่านนะ แล้วท่านรื้อค้นของท่านเอง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณญาณระลึกอดีตชาติได้ จุตูปปาตญาณ ญาณระลึกถึงว่า ถ้าจิตนี้ยังไม่ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันจะไปเกิดได้ อาสวักขยญาณ ญาณชําระล้างกิเลส

หลวงปู่มั่นท่านไปพิจารณาของท่านนะ ท่านบอกว่าท่านเคยปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปรารถนาพุทธภูมิ มันถึงภาวนาไปไม่ได้ไงพอภาวนาไปไม่ได้ เวลาท่านจะลา นี่เวลาท่านจะลา

เวลาเราจะลากัน เราก็นึกลากันอย่างนี้ แล้วก็ทําเป็นของเล่น แต่หลวงปู่มั่นท่านทําสมาธิเข้ามาอย่างนี้ เห็นไหม

ที่เขาบอกว่าเขาทํา เวลาเขาระลึกถึง ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป จิตมันสงบเข้าไป ระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ โอ้โฮนํ้าตาร่วง นํ้าตาไหล คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่างกายนี้อ่อนหมด จิตมีความอบอุ่น ขนลุกขนพอง

นี่มันถึงจิต แล้วลาตรงนี้ หลวงปู่มั่นไปลาพระโพธิสัตว์ ไปลาพุทธภูมิ ไปลาตรงนี้ พอลาเสร็จแล้วมันปลอดโปร่ง เออลาพุทธภูมิแล้ว เวลาท่านจิตสงบแล้วท่านยกขึ้นสู่พิจารณากาย พอพิจารณากายออกมา เออมันต้องเป็นอย่างนี้สิพิจารณาไปแล้วมันถอดมันถอน มันละ มันเบามันบาง

เมื่อก่อนพอจิตสงบแล้วพิจารณากาย ออกมาแล้วนะ มันก็ปกติ พิจารณากายไปแล้วมันก็เหมือนทางตันน่ะ พิจารณาไปแล้วก็เหมือนหน้าผาตัดน่ะ มันไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะความปรารถนาพระโพธิสัตว์ เวลาเขาลากัน เขาไปลากันในสมาธิ ลากันที่จิตนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตเขาสงบ เห็นไหม เวลาเขาสงบ ฉะนั้น จิตเขาสงบแล้วเขาไปรื้อไปถอนสิ่งที่มันคาใจไง เรามันโง่นัก สมัยหนึ่งเราโง่นัก เราเคยติเตียนเราเคยว่ากล่าวไว้ เวลามันไปขออภัย ไปขอลากัน มันเป็นประโยชน์ แล้วพอทําได้ปลดปล่อยหมดเลยนะ คิดดูสิ หัวใจเรามันมีสิ่งใดตกค้างไว้ในใจ ตะกอนในใจมันเหมือนจิตใต้สํานึก เวลามันมีสิ่งใดที่มันฝังใจอยู่ แล้วเราอยากจะปลดเปลื้องมันออก

แต่คําว่า “กรรมจําแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน” กรรมคือการกระทํา เราได้กระทําไว้ มันต้องมีผล เราได้กระทําไว้ ทั้งๆ ที่สํานึกว่ามันผิดนี่ แต่เราเคยทําไว้ มันก็มีผลปักอยู่กลางหัวใจนี้ไง จะทําสิ่งใดแล้วมันมีอะไรสิ่งใดอยู่ในหัวใจตลอด แล้วทําอย่างไรล่ะ

เวลาเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิแล้วระลึกถึง จิตสงบแล้ว เวลาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันปลอดโปร่งหมดเลย มันปลอดโปร่ง สุดท้ายเขาบอกเวลามันเป็นอย่างนั้น ร้องไห้ “จากนั้นผมร้องไห้ไม่หยุดไม่หย่อน ก้มลงกราบแล้วกราบเล่า กราบด้วยความสํานึก ความสํานึกเหมือนกราบพ่อแม่ แต่ยิ่งกว่าหลายเท่า ผมร้องไห้แล้วกราบขอขมา

คําว่า “ร้องไห้” เห็นไหม เหมือนกับเรา เวลาเราขออภัย เราขอโทษเขา เราก็สํานึกผิด เราก็เสียใจ นี้ธรรมดาลูกผู้ชายเนาะ ใครจะร้องไห้ให้ใครเห็นวะ แต่เวลาอยู่ในห้องนี่ร้องไห้คนเดียว ร้องได้ ร้องแล้วร้องเล่าเลย กราบเลย นํ้าตาลูกผู้ชายเว้ย

ทีนี้มันผิดแล้ว ความผิดอันนี้มันผิดเพราะกิเลส ผิดเพราะความไม่เข้าใจ พอผิดแล้วเขาถึงมาคิดได้ แล้วมาคิดได้เองว่า เราเป็นคนโง่ที่เคยกล่าวติเตียนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งสํานึกบาปที่อยู่มานาน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ เหมือนมีความรู้สึกปีติอย่างมากเกินกว่าที่จะบรรยายได้

นี่เวลาเป็นสมาธิมันละเอียดลึกซึ้ง มันเป็นปัจจัตตัง เวลาพูด เวลาคนไปถามปัญหาหลวงตา หลวงตาบอก “เออรู้แล้ว เรารู้แล้ว พูดแค่นี้เรารู้แล้ว

แต่ไอ้คนพูดก็อยากจะพูด อยากจะพูด เพราะมันพูดได้นิดเดียว พูดได้นิดหนึ่ง ไอ้ความเป็นจริงมันมากมาย อยากจะพูด อยากจะพูด

หลวงตาบอก “เออเรารู้แล้ว เรารู้แล้ว ไม่ต้องพูด

คนเป็นกับคนเป็นฟังทีเดียวก็รู้ คนไม่เป็นไม่เห็นตรงนั้น มันพูดอธิบายแล้วอธิบายเป็นทางวิชาการ โอ๋ยมันพูดได้  วัน แต่ฟังไม่ได้เรื่องเลย  วันนี้ไม่เข้าสู่ความจริงเลย มันบรรยายได้  วัน เพราะอะไร เพราะมันใช้ตรรกะ มันพูดไปเปรียบเทียบไป

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ พูดคําเดียวก็รู้แล้ว แต่ไอ้คนรู้ก็อยากจะพูดมาก นี่สิ่งที่เป็นไป

อันนี้เราถึงบอกว่า เขาบอกว่ามันเกินบรรยาย สิ่งที่เขาเป็น เกินบรรยายเป็นตัวหนังสือ หลังจากหยุดร้องไห้แล้วพุทโธต่อ เกิดความรู้สึกโล่ง ว่าง สงบ เงียบอบอุ่นมาก พร้อมทั้งก้มลงกราบแล้วกราบเล่า

เวลาสิ่งที่มันเหมือนคนเป็นโรคแล้วหายจากโรค เห็นไหม คนเป็นโรคสิ่งใดก็แล้วแต่ เวลารักษาหายแล้วเราก็สบายใจปลอดโปร่งมาก นี่ก็เหมือนกัน สิ่งนี้มันตกค้างอยู่ในใจ ไอ้นี่มันตกค้างอยู่ในใจ

แต่บางคนไม่มีนะ ส่วนใหญ่ไม่มี แต่สิ่งที่มีก็เยอะ เพราะคนที่เป็นอย่างนี้ทั้งเป็นพระ เป็นต่างๆ มาปรึกษาเราเยอะ แต่ของเรา ยกตัวนิดหนึ่ง เราไม่เคยเป็นค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าบอกว่า “อะไรๆ หลวงพ่อก็ว่าเคยเป็น หลวงพ่อเคยเป็นทั้งนั้นเลย”...อันนี้ไม่เคยเป็น แต่ถ้าปฏิบัติ เคย เวลาจิตเสื่อมนี่โอ้โฮทุกข์มาก

นี่เวลาคนมันเคยเป็น เคยเจริญแล้วเสื่อม มันถึงห่วง มันถึงคอยบอกไง อันนี้คนที่ปฏิบัติใหม่มันก็ไม่เคยเป็น มันก็นึกไม่ถึงไง ก็คิดว่าเหมือนกับเรียนหนังสือสอบแล้วก็จบไง สอบแล้วก็คือได้ สอบแล้วผ่านแล้วก็ผ่าน ความรู้เราอยู่ตรงนั้นน่ะ

แต่สติ สมาธิ ปัญญา มันไม่เป็นอย่างนั้น เวลาได้นี่สดชื่นมากเลย เวลามันเสื่อมแล้ว โอ๋ยคอตกเลย ไฟแดงๆ นี่แหละ ร้อนทั้งตัว ไฟเผาทั้งตัว นี่เวลามันเสื่อม หมดอย่างนั้นเลย แล้วกว่าจะเอาคืนมา มันต้องดับไฟ ดับไฟให้ได้ก่อน ดับไฟเสร็จแล้วค่อยมาพุทโธใหม่ โอ๋ยถึงตอนนั้นแล้วมันจะรู้จักนะ นี่พูดถึงว่าไอ้อย่างนี้เคยเป็น เป็นบ่อยมาก ไอ้เจริญแล้วเสื่อม

ทีนี้พอเจริญแล้วเสื่อม หลวงตาถึงบอกว่า ใครไม่เคยเป็นไม่รู้ แต่ถ้าใครเคยเป็น แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราถ้าคนมันไม่เคยเป็น เหมือนเราไม่เคยรวย ไม่เคยรวยแล้วไม่เคยหมดตัว ถ้าไม่เคยรวย ไม่เคยหมดตัว มันก็เรื่องปกติ แต่ถ้าเคยรวยแล้ว แล้วหมดตัวนะ โอ้โฮมันฝังใจ ขอให้กูรวยอีกทีเถอะ กูจะไม่ประมาทอีกเลย ขอให้กูรวยอีกที

เวลามันรวยไปแล้วมันใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันหมดตัวเลยไง แล้วก็ไปหาอีกๆนั่นน่ะ ไอ้คนไม่เคยรวยมันไม่รู้ว่ารวยเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่เคยหมดตัวด้วย มันก็เลยว่างๆ ว่างๆ กันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าใครเคยรวยนะ แล้วหมดตัวนะ แล้วมันต้องมาสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ มันจะรู้เลยว่ามันทุกข์ยากขนาดไหน ตั้งแต่นั้นมามันจะรักษาอย่างดีเลย นี่พูดถึงว่าเวลาเจริญแล้วเสื่อมนะ

ฉะนั้น สิ่งที่เป็น ใครเป็น เขาเรียกว่าเวรกรรม เราถึงบอกว่า กรรม เราทําของเรามา เราต้องยิ้มสู้ ยิ้มสู้กับสิ่งที่เราทํามา ไม่เหมือนเขา จิตใจเราไม่เหมือนเขา จิตใจเราไม่เท่าเขา บางทีคนที่เขาไม่สนใจศาสนาเลย จิตใจเราดีกว่าเขา ถ้าเขาไม่สนใจเลยนะ เขาเกิดมาเป็นคน แล้วเขามีโอกาส มีอํานาจวาสนาด้วย แต่เขาไม่ทํา แต่เราทํา นี่คือโอกาสไง โอกาสที่เขาโยนทิ้งไป

โอกาสของคน โอกาสของคนเรามีปัญญา มีการศึกษา มีการกระทําใช่ไหมนี่โอกาสของคน ทุกคนมีสิทธิ์หมดเลย แต่เขาโยนทิ้งไป เขาไม่เอา ถ้าจิตใจเราดีกว่า เราดีกว่าเขา แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้ว เออเราสู้ท่านไม่ได้ เราอยู่ตรงกลาง แต่ก็ยังพยายามทําของเรา นี่พูดถึงถ้าแก้ไขได้นะ

สิ่งที่พูด เราพูดบ่อยมาก เวลาคนที่เขามีปัญหา เวลาการกระทํานะ เวลาขอขมาแบบพิธีกรรม โดยธรรมชาติ เหมือนเด็ก เด็กมันทําอะไรไม่ได้หรอก เด็กนี่พ่อแม่เลี้ยงมาทั้งนั้นน่ะ ที่เด็กทําอะไรไม่ได้ เด็กมันสํานึกผิด ก็ให้สํานึกผิดแบบเด็กๆ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราภาวนายังจิตมันไม่สงบหรือมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ขอขมากันแบบเด็กๆ คือขอขมาลาโทษ สวดมนต์ ทําวัตรเย็นน่ะ เราขอขมาไป สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด นี่ถ้าเราแผ่เมตตาของเรา แต่ถ้าเราขอขมาลาโทษ เราก็ขอขมาลาโทษของเรา

นี่พูดถึงเวลาเขาบอกเขามีความสุขมาก จิตเขามีความอบอุ่นไง หลังเลิกภาวนาแล้ว นี่ความรู้สึกของเขา ความรู้สึกของคนที่มันมีสิ่งใดปักหัวใจไว้ แล้วเวลามันถอดมันถอนไง “หลังเลิกภาวนาแล้ว ความรู้สึกเหมือนชีวิตนี้กลับมานับหนึ่งใหม่ นับจากแต่ก่อนนั้นติดลบ พอมันภาวนาเสร็จแล้ว มันปลอดโปร่ง มันโล่ง

คือว่ามันถอดถอนไอ้ความวิตกกังวล ถอดถอนสิ่งที่ปักคาหัวใจไว้แล้ว

ชีวิตนี้เหมือนนับหนึ่งใหม่

คือมันไม่มีอะไรแล้ว ไอ้สิ่งที่มันกระทบกระเทือนหัวใจนี่จบแล้ว เราถอดถอนได้ เราทําอะไรเราปลดปล่อยได้ เราปลดปล่อยใจเราให้อิสระไง จากใจของเราเป็นมนุษย์มีอิสรภาพ แต่มันมีเวรมีกรรมครอบงํามันไว้ไง นี้เราทําคุณงามความดีเราประพฤติปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบูชาหัวใจของเรา เห็นไหม ปลดปล่อยพุทธะ ปลดปล่อยหัวใจของเราให้ปลอดโปร่ง ปลดปล่อยสิ่งที่เราเคยสร้างเวรสร้างกรรมไว้ มันปลดปล่อยของมัน พอมันปลดปล่อยของมัน มันจบสิ้น ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันสมควรมันสมควรสมดุลพอดี มันถึงปลดปล่อย

เราคิดเอาเองไง เรามีความทุกข์ไง เราก็อยากปลดปล่อย เราก็อยากทําให้เรามีความสุข เราคิดว่าเราทําของเราได้ไง แต่ถ้าคนเขาเป็นจริงของเขา เขาทําของเขา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม “ชีวิตนี้เหมือนนับหนึ่งใหม่ จากที่เคยติดลบมา แล้วปฏิญาณตนว่าตนจะถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างสุดหัวใจ

อย่างสุดหัวใจเลยนะ อย่างสุดหัวใจเพราะมันไปรู้ไปเห็น มันสุดหัวใจเลยแล้วทําของเรา ต่อไปนี้เราจะเชื่อมั่นของเรา

ถึงบอกว่า ศรัทธา อจลศรัทธา ศรัทธาของเราคลอนแคลนนะ ศรัทธาของเราหวั่นไหวได้ ศรัทธาของเราไปเจอใครชักนํา ใครชี้นํา เราอาจจะไปกับเขาได้ นี่ศรัทธา ถ้ามันประพฤติปฏิบัติเข้าไปเห็นความจริง นี่อจลศรัทธา

อจลศรัทธา เกิดตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนที่ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ ปุถุชน สิ่งใดมันยังชักนําไป รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันยังมีอํานาจเหนือใจดวงนั้น แต่ใจดวงนั้นพิจารณาของเราเดี๋ยวใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไง รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

เป็นบ่วงมารัดคอ เป็นพวงดอกไม้มันหลอกมันล่อ รูป รส กลิ่น เสียงนี่ รูป รสกลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของมนุษย์ต่างหาก กิเลส

รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตร ของที่มันเลอเลิศในโลกนี้มนุษย์สร้างขึ้นมา มันมีกิเลสหรือ มันไม่มีหรอก มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วก็มนุษย์ด้วยกันไปติดมัน ตัณหาความทะยานอยากของมนุษย์ต่างหากคือกิเลส

ฉะนั้น รูป รส กลิ่น เสียง มันก็เป็นเครื่องล่อ แล้วเรามีกิเลสอยู่ใช่ไหม เรามีกิเลสอยู่ เราก็ชอบไง รูป รส กลิ่น เสียง เราก็ไปชอบมัน ถ้าไปโดนมันหลอก มันก็ผูกคอเอา นี่คนหนา ปุถุชน

เราใช้ปัญญา เราพิจารณา รูป รส กลิ่น เสียง ก็รูป รส กลิ่น เสียง มันก็มีของมันธรรมชาติ ทําไมเราโง่ไปติดมันน่ะ พอปัญญามันไล่เข้ามาต่อเนื่องบ่อยๆครั้งเข้า เวลามันปล่อย มันขาดนะ มันขาด หมายความว่า รูป รส กลิ่น เสียงไม่มีอํานาจเหนือใจดวงนี้ ถ้ารูป รส กลิ่น เสียงไม่มีอํานาจเหนือหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มีสติมีปัญญาอย่างที่ว่าเจริญไม่เสื่อมนะ นี่มีสติปัญญา ยิ้มๆ จะรูป รส กลิ่นเสียงอย่างไร ยิ้มๆ ผ่านตลอด ถ้าจิตมันดี แต่ถ้าเสื่อม ติดอีกแล้ว แต่ถ้าจิตมันดีนะ ยิ้มๆ เลย รูป รส กลิ่น เสียงนี่ อะไรก็หลอกกูไม่ได้ ไม่ได้หรอก เป็นอจลศรัทธา

ศรัทธาคือคนหนา ศรัทธาคือคนยังเปลี่ยนแปลงได้ ศรัทธายังหลงใหลได้อจลศรัทธาคือศรัทธาที่มั่นคง ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลนมันต้องมีปัญญา เพราะปัญญามันรู้เท่า รูปรสอันวิจิตรมันไม่ใช่กิเลส มันไม่ใช่ แล้วใครไปหลงมันน่ะ แล้วใครไปติดมันน่ะ นี่ไง ถ้ามีความคิดอย่างนี้ปั๊บ มันจะไล่กลับมาเลย ก็หัวใจเราไง

ทีแรกก็ว่าเราก่อน เพราะตัวเราคิด ความคิดมันหยาบๆ จริงๆ ความคิดเกิดจากจิต ก็คือใจเรานั่นน่ะ แล้วใจเราอะไร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยาวิญฺาณํ เพราะอวิชชาครอบงํา มันถึงได้ลุ่มหลงอย่างนี้ พออวิชชาลุ่มหลงไปความโลภ ความหลงมันก็เกิด ทุกอย่างก็เกิดตามมา พับพับพับเกิดตามมาหมดเลย ถ้ามันหลง มันเกิดมาเป็นหางว่าวเลย แต่ถ้ามันทันก็ทัน จบเหมือนกัน นี่พูดถึงเวลาปฏิบัติ เห็นไหม ศรัทธา อจลศรัทธา

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่า “ต่อไปนี้จะปฏิญาณตนจะถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างสุดหัวใจ แล้วจะมุ่งมั่นทําคุณงามความดีของเราไป ฝึกหัดใจของเรา เวลากิเลสมันครอบงํา มันจะฝึกหัดภาวนาครับ แล้วผมก็จะมีความเมตตา

เราพยายามทําของเรา อันนี้เป็นอัตตสมบัติ มันเป็นสมบัติของเราไง คนเราจะรู้ว่าจะดีจะชั่ว รู้ดีรู้ชั่วที่ไหน รู้ดีรู้ชั่วเวลาพฤติกรรมของเขา ไอ้นี่หัวใจของเราพฤติกรรมในใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่อัตตสมบัติในใจของเราเราทําคุณงามความดีของเรา เรารู้ของเรา ใครจะติฉินนินทาอย่างไรมันเรื่องของเขา มันธรรมะเก่าแก่ โลกธรรม  ถ้าหวั่นไหวไปกับเขาไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระนะ เวลาพระโดนกระทบกระเทือนจะไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอทั้งหลายโดนโลกธรรมเบียดเบียน คือมีคนเขาติฉินนินทานะ เธอไม่ต้องหวั่นไหวหรอกแล้วถ้าจะดูใครเป็นตัวอย่าง ก็ดูเราไง ก็ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ลัทธิอื่นๆ จ้างคนมาด่า จ้างคนมาต่างๆ เวลาเผยแผ่ธรรม ฉะนั้น ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ให้ปฏิบัติตนเหมือนช้างศึก ช้างศึกออกสนามรบ ช้างศึกตัวมันใหญ่ เขายิงธนู เขายิงใส่มันก่อน เขาทําอะไรก็โดนช้างตัวนั้นน่ะ ช้างศึกมันไสเข้าไป มันเอาชนะเขาได้

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราฝึกหัดสติปัญญา ถ้าเราฝึกหัดสติปัญญาของเราแล้ว เรารักษาหัวใจของเรา คนจะมองอย่างไรมันเรื่องของเขา

ในสายตาของคน ถ้าเป็นคนมองนะ คนมองโดยสายตาของครูบาอาจารย์ของเราท่านมองออกนะ ท่านมองออกว่า ดูสิ ดูพระอัสสชิไปบิณฑบาต พระสารีบุตรเป็นมานพ เห็นสภาพ คนมีปัญญาเขามองออก ตามไปเลย ตามพระอัสสชิไปใครเป็นอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านสอนอย่างไร

พระอรหันต์ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน พระอรหันต์ไม่มีโอ้อวดหรอก “เราเป็นผู้บวชใหม่” พระอรหันต์นะ “เราเป็นผู้บวชใหม่ เราเป็นผู้บวชใหม่ เราไม่มีปัญญามากที่จะสอนได้

โอ๋ยไม่ต้องเอามากหรอก เอาน้อยๆ ก็ได้ เอาน้อยๆ นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ให้ดับที่เหตุนั้น

สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปหมด มันต้องมีเหตุมีผลของมัน มีเหตุมีปัจจัยทั้งนั้น มานั่งเกิดกันอยู่นี่ กรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าวิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่ เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากพ่อแม่ แต่ถ้าพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องการให้สมความปรารถนาเรา พ่อแม่ลูก ดีเอ็นเอ ตรวจนี่พ่อแม่หมดเลย แต่ใจไม่ใช่

ถ้าใจนะ เราควบคุม เป็นของพ่อแม่นะ ลูกเราจะขีดเส้นให้เดินเป็นคนดีหมดเลย ลูกเรานี่ขีดเส้นเปี๊ยะเลย เพราะเราบังคับใจมันได้ไง ก็ใจมัน เราสั่งได้ แต่นี้ไม่ได้ ใจของเขา ขณะที่เขาเล็กเขาน้อย เขายังต้องการพึ่งพาอาศัย เขาจะเชื่อฟังพ่อแม่ พอเป็นวัยรุ่นแล้วจบแล้ว พอเป็นวัยรุ่น มันจะไปของมันเองแล้ว พ่อแม่นี่ตัวถ่วง มันจะไปแล้ว เห็นไหม ถึงว่าใจไม่ใช่ ร่างกายนี้ของพ่อของแม่นะ ฉะนั้น เกิดจากกรรม นี่ไง ผลของวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนี้

เราฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราก็ศึกษาใคร่ครวญของเรา ใคร่ครวญของเรา ถ้าจิตของเราไม่มีประสบการณ์อย่างนี้ ไม่มีปัญหาอย่างนี้ มันก็เป็นบุญของเรานะ เราไม่เคยทํากรรมอย่างนี้ เราก็ไม่เกิดประสบการณ์อย่างนี้ แล้วก็ไม่อยากเกิดด้วย ประสบการณ์อย่างนี้

แต่คนที่เกิดประสบการณ์อย่างนี้ เวลาเขาทําแล้ว เขาทําแล้ว แล้วเขาได้ผลปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เขาปฏิบัติแล้วเขาถอนเขาได้ด้วย เขาถอนความทุกข์ในใจเขาได้ เขาถอนสิ่งที่ตกค้างในใจเขาได้ ร้องห่มร้องไห้ ร้องห่มร้องไห้เพราะเสือสํานึกบาป เวลามันรู้สึกตัวของมันนะ เสือสํานึกบาป ถ้ามันจะเริ่มถอดถอน

แต่อันนี้มันเป็นความดีไง อันที่เป็นความดี เวลาเขาปฏิบัติแล้วเขาได้ผล เราเห็นอย่างนี้แล้ว ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลของมัน แล้วถ้าทําจริงก็เป็นจริง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนี่สัจจะทั้งนั้นน่ะ แต่เราปฏิบัติถึงหรือไม่ถึง เราทําได้หรือไม่ได้ ถ้าเราทําถึง ทําได้ ยืนยันกันเลย ปัจจัตตังสันทิฏฐิโก หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอกเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ถาม ไม่ถาม อันเดียวกัน

แต่อันเดียวกัน มันต้องแบบว่าไม่ใช่ว่ามั่นใจ มันเป็นความจริงเลย เป็นความจริง ความจริงที่รื้อหาความบกพร่องไม่ได้ รื้อหาความผิดพลาดไม่ได้ ค้นหามันไม่มี มันไม่มีๆ ไม่มีอันนั้น นี่มันเป็นความจริงอย่างนั้น ความจริงจากการประพฤติปฏิบัติ ความจริงเป็นความจริง ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เอวัง